ชาวนากับงูเห่านิทาน ชาวนากับงูเห่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชาวนาผู้ใจดีและขยันขันแข็งอาศัยอยู่ ชาวนาคนนี้ทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เขามีจิตใจเมตตาต่อทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือพืชพันธุ์

ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บปีหนึ่ง ขณะที่ชาวนากำลังเดินกลับบ้านหลังจากทำงานในทุ่งนา เขาเห็นงูเห่าตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ งูเห่าตัวนั้นกำลังหนาวสั่น และดูเหมือนใกล้จะสิ้นใจ ชาวนาอดสงสารงูเห่าไม่ได้ จึงตัดสินใจช่วยเหลือมัน แม้จะรู้ว่า งูเห่าเป็นสัตว์อันตรายที่สามารถทำร้ายเขาได้

ชาวนาอุ้มงูเห่าขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เขาห่อมันด้วยเสื้อคลุมของเขาเพื่อให้ความอบอุ่นและพามันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน ชาวนาวางงูเห่าไว้ใกล้กองไฟเพื่อให้มันได้รับความอบอุ่นเต็มที่ เขาดูแลมันด้วยความเอาใจใส่ ป้อนน้ำและอาหารให้ เพื่อให้มันกลับมามีแรงอีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่นาน งูเห่าก็ฟื้นจากความหนาวเหน็บและเริ่มมีเรี่ยวแรงกลับคืนมา ชาวนารู้สึกยินดีที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ตัวหนึ่งได้ แต่เมื่อชาวนาเอื้อมมือไปสัมผัสงูเห่าเพื่อดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง งูเห่ากลับแสดงสัญชาตญาณดั้งเดิมของมัน มันฉกกัดเข้าที่มือของชาวนาทันที

ชาวนารู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาเห็นพิษงูไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดทำให้เขาล้มลงกับพื้น ขณะที่เขานอนอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ชาวนาก็พูดกับงูเห่าว่า “ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าด้วยการทำร้าย ข้าควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่า ธรรมชาติของเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

ชาวนาสิ้นลมในเวลาต่อมา ขณะที่งูเห่าก็เลื้อยจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ๆ เลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความเมตตาและการทำดีกับผู้ที่มีนิสัยเลวร้ายอาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง เราควรระมัดระวังในการให้ความช่วยเหลือและไม่ควรไว้ใจผู้ที่มีจิตใจอันตราย แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอก็ตาม