กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และสัตว์นานาชนิด มีสัตว์สองตัวที่ถือว่าเป็นราชาแห่งป่า คือเสือและสิงโต ทั้งสองต่างก็มีพละกำลังที่เหนือกว่าสัตว์ตัวอื่นในป่า และด้วยเหตุนี้เอง ทั้งเสือและสิงโตต่างก็มีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง
วันหนึ่ง เสือเดินทางไปที่ลำธารเพื่อล่าหากวางสำหรับมื้อเย็น แต่เมื่อมันมาถึงที่ลำธาร มันก็พบว่ากวางที่มันตั้งใจจะล่าได้ถูกสิงโตล่าไปก่อนแล้ว เสือรู้สึกโกรธมาก “เจ้านี่ช่างกล้าดีที่มาขโมยเหยื่อของข้า!” เสือคำรามเสียงดัง
สิงโตหันมามองเสือแล้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าล่าได้ก็ถือว่าเป็นของข้า ใครมีพลังมากกว่าก็ย่อมได้เปรียบในป่านี้”
เสือไม่ยอมแพ้ และท้าทายสิงโตว่า “หากเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นราชาที่แท้จริง เรามาท้าทายกัน ใครแข็งแกร่งกว่าก็จะได้ครองป่าแห่งนี้”
สิงโตยิ้มอย่างมั่นใจและตอบตกลง ทั้งสองตกลงกันว่าจะท้าทายกันที่ลานหินกลางป่า ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ทุกตัวในป่ารู้จักและเคารพ เพราะเป็นที่ที่ใช้ในการตัดสินความยิ่งใหญ่ของราชาแห่งป่า
เมื่อถึงวันนัดหมาย สัตว์ทั้งหลายต่างก็มาเฝ้าดูการแข่งขันระหว่างเสือกับสิงโต พวกมันต่างตื่นเต้นและสงสัยว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการท้าทายครั้งนี้
การต่อสู้เริ่มขึ้น เสือและสิงโตต่างก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีในการต่อสู้ ทั้งสองตัวต่างก็ฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ป่าทั้งป่าดูเหมือนจะสั่นสะเทือนด้วยพลังของพวกมัน การต่อสู้กินเวลานานหลายชั่วโมง แต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาด
ทั้งเสือและสิงโตต่างก็เหนื่อยล้า และบาดเจ็บจากการต่อสู้ พวกมันต่างหายใจแรงและทรุดตัวลงบนพื้นลานหิน แต่ถึงแม้จะเหนื่อยล้าและบาดเจ็บ ทั้งสองยังคงมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้
ในที่สุด เสือก็พูดขึ้นมา “เราไม่มีใครเหนือกว่าใคร การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากทำให้เราทั้งสองบาดเจ็บและเหนื่อยล้า”
สิงโตก็เห็นด้วยและตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน บางทีเราควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในป่าแห่งนี้โดยไม่ต้องต่อสู้กัน”
ทั้งสองตัดสินใจยุติการต่อสู้และกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง โดยไม่มีการท้าทายกันอีก สัตว์ในป่าต่างก็ยกย่องการตัดสินใจของเสือและสิงโต และป่าแห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:
การแย่งชิงอำนาจและความยิ่งใหญ่ด้วยการต่อสู้ไม่ได้ทำให้ใครเหนือกว่าใคร ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือการรู้จักประนีประนอมและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ